มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จัดพิธีปัจฉิมนิเทศ ประจำปีการศึกษา 2561 สำหรับนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาจำนวนกว่า 3 พันคน เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2562 ณ หอประชุมสมเด็จย่า โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี กล่าวให้โอวาทแก่ว่าที่บัณฑิตเป็นรุ่นสุดท้าย ก่อนพ้นการดำรงตำแหน่งอธิการบดีในวันที่ 28 เมษายน 2562
รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ กล่าวกับนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาและจะเข้าพิธีพระทานราชทานปริญญาบัตรในปี 2563 ความตอนหนึ่งว่า
“พวกเธอกำลังจบการศึกษาในยุคที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยุคที่การเปลี่ยนแปลงเปรียบเป็นกระแสน้ำไหลบ่าที่จะพัดพาเราไปได้ทุกทิศทาง สิ่งที่จะทำให้พวกเธออยู่รอดได้ก็คือความแข็งแกร่งในตัวเอง ทั้งในด้านการใช้ชีวิตและวิชาความรู้ เป็นธรรมดาที่ชีวิตคนเรามักได้เจอปัญหา เจออุปสรรคมากมาย ชีวิตมักพาเราไปเจอเรื่องยาก แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องดีที่จะทำให้พวกเธอแข็งแกร่ง สิ่งแรกคือความแข็งแกร่งด้านวิชาความรู้ที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ อาจมีหลายคนที่บอกว่าไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ประสบความสำเร็จได้ เป็นจริงสำหรับไม่กี่คนเท่านั้น มีหนึ่งคนในหลายๆ ล้านคนในโลกเท่านั้นที่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่แม้ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่เป็นความจริงสำหรับทุกคน เป็นเรื่องยากถ้าไม่ได้เรียนจบอะไรแล้วเดินเข้าไปสมัครงานในบริษัทต่างๆ แล้วเขาจะรับพิจารณา นี่คือเรื่อจริงของชีวิต เพราะฉะนั้นอาวุธอักแรกที่มหาวิทยาลัยสร้างไว้ให้พวกเธอติดตัวก็คือวิชาความรู้ ความรู้ที่ดีที่สุดก็คือความรู้ที่เธอได้ร่ำเรียนมานั่นเอง”
“มีคำกล่าวหนึ่งว่า มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มหาวิทยาลัยจึงไม่ได้สอนให้พวกเธอมีแค่ความรู้ แต่ยังสอนทักษะให้รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้ ให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเรียนจบจากสาวิชาอะไร มีหลายคนที่ไปเติบโตในสาขาวิชาต่างไปจากที่เรียนมา แต่เธอสามารถอยู่รอดได้ด้วยการนำพื้นฐานจากที่เรียนรู้มาไปปรับใช้ ไม่มีอะไรที่เรียนไปแล้วสูญเปล่า ทุกวิชาล้วนมีประโยชน์ในการดำรงชีวิตทั้งนั้นแล้วแต่ว่าเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร นอกจากนี้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังสอนให้พวกเธอรู้จักการปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ การอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมต้องรู้จักความมีมนุษยสัมพันธ์ เคารพกฎระเบียบ ข้อปฏิบัติและประเพณีของแต่ละสถานที่ รู้จักเคารพผู้มีอาวุโส ให้ความสนิทสนมกับรุ่นน้อง สร้างความสามัคคีกลมเกลียวกันในสังคมที่เราอยู่ ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจให้แก่กัน เมื่อมีความรู้และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแล้วเราไปทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยปลูกฝังให้พวกเธอทุกคนสอดแทรกอยู่ในการเรียน อยู่ในทุกกิจกรรมที่เธอทำไปโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้บัณฑิตจากแม่ฟ้าหลวงมีความไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากที่อื่น”
“สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ ความรักความศรัทธาในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนั้นต้องอยู่ในใจของพวกเธอเสมอ ตลอดระยะเวลาที่เธอได้มีโอกาสเข้ามาศึกษา เข้ามาพัฒนาตัวเองอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่า บัณฑิตทุกคนเปรียบเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ปัจจุบันนี้เรามีตัวแทนเป็นบัณฑิตของมหาวิทยาลัยทำงานอยู่ในที่ต่างๆ กว่า 25,000 คนทั่วประเทศ และเมื่อรุ่นนี้สำเร็จการศึกษาออกไปก็จะมีตัวแทนที่จะออกไปสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น พวกเธอกำลังจะกลายเป็นบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอย่างเต็มภาคภูมิ ก็ขอให้พวกเธอมีความสำเร็จในการพัฒนาตัวเองต่อไปในภายภาคหน้า ขอบารมีสมเด็จย่าได้คุ้มครองพวกเธอให้มีความสำเร็จ ความสุขและความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของเธอเอง ครอบครัวและประเทศชาติต่อไป”
“ปัจฉิมนิเทศคือการพูดจากันครั้งสุดท้าย การพูดจาครั้งสุดท้ายไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พูดกันอีก เรายังสามารถพูดกันได้ด้วยการกระทำของพวกเธอเอง การนำความรู้ความสามารถไปสู่การกระทำที่ดี เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยได้ดีที่สุด เป็นการกระทำแทนการพูดจาแทนความรู้สึกได้ดีที่สุด ขอให้ลูกๆ ทุกคนโชคดี พวกเธอเป็นรุ่นสุดท้ายที่ครูจะมาพูดกับพวกเธอตรงนี้ในฐานะอธิการบดี ครั้งสุดท้ายในการอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มา 20 ปี เนื่องด้วยในวันที่ 28 เมษายนนี้ ก็จะครบวาระการดำรงตำแหน่งอธิการบดี แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ความผูกพันทางใจยังคงอยู่ ในฐานะที่พวกเธอเป็นลูกศิษย์ ความผูกพันในฐานะที่ผู้เป็นบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะไม่มีวันจางหายไป เพราะเราถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีนามสกุลแม่ฟ้าหลวงเช่นเดียวกันตลอดไป”
