สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระนามเดิมว่า “สังวาลย์” เสด็จพระราชสมภพที่เมืองนนทบุรี ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ทรงเป็นบุตรคนที่สามในพระชนกชื่อ “ชู” และพระชนนีชื่อ “คำ” ทรงมีพระภคินีและพระเชษฐาร่วมพระอุทรสองคน ซึ่งถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเยาว์วัย และมีพระอนุชาคนเดียว คือคุณถมยา ซึ่งมีอายุน้อยกว่าพระองค์สองปี
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเรียนหนังสือเมื่อเริ่มแรกกับพระชนนีคำ และต่อมาทรงเข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงที่ตั้งขึ้นที่วัดอนงคารามที่อยู่ใกล้บ้าน และต่อมาได้เสด็จไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนสตรีวิทยาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงจบชั้นประถมปีที่ ๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา และได้ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง ๑๔ คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง
ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงศึกษาและฝึกหัดการพยาบาลอยู่นั้น ได้มีความพยายามปรับปรุงกิจการแพทย์และการสาธารณสุขในประเทศไทย เพื่อให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งของความพยายามนั้น คือการตระเตรียมครูทั้งฝ่ายแพทย์และพยาบาล เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการฝึกหัดแพทย์และพยาบาลต่อไป
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับนางอุบล ลิปิธรรมศรีพยัตต์ (ขณะนั้น คือนางสาวอุบล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา)
ในการเสด็จไปเรียนที่สหรัฐอเมิรกาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และ“นางสาวอุบล” ได้พำนักอยู่กับครอบครัวสตรองที่เมืองฮาร์ตฟอร์ด มลรัฐคอนเน็คติกัต และเข้าเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนอร์ธเวสเทิร์น (North Western) เพื่อฝึกฝนทักษะการพูด การอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษให้ชำนาญก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และเพื่อให้ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ตลอดจนความคิดจิตใจของชาวอเมริกันให้ดีขึ้น
สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงห่วงใย และมักเสด็จมาเยี่ยมนักเรียนหญิงทั้งสองคนในวันอาทิตย์ และเมื่อเวลาผ่านไป สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพอพระทัยในสมเด็จพระบรมราชชนนีมากขึ้นทั้งในพระสิริโฉมและพระอุปนิสัย ความรู้ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด รวมทั้งพระคุณสมบัติอื่นๆ จนในที่สุดได้ทรงมีลายพระราชหัตถ์ กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชมารดา ขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้น “นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ” เมื่อทรงได้รับอนุญาต จึงทรงหมั้น “นางสาวสังวาลย์” อย่างเงียบๆ ในปีพ.ศ. ๒๔๖๒ ต่อมาเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสที่วังสระปทุม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จไปประทับที่สหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่สถาบันเอ็มไอที (MIT Massachusetts Institute of Technology) ระหว่างที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีได้เสด็จไปศึกษาหลักสูตรเตรียมพยาบาลที่วิทยาลัยซิมมอนส์ (Simmons College)
ในภาคฤดูร้อนที่สถาบันเอ็มไอที ในปี พ.ศ. 2464 สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตรการสาธารณสุข (Certificate of Public Health C.P.H.) จากนั้นได้เสด็จพร้อมด้วยหม่อมสังวาล ไปยุโรปเพื่อท่องเที่ยว ดูงาน และทรงเจรจากับผู้แทนมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์เรื่องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อพัฒนาปรับปรุงการศึกษาด้านการแพทย์ของ ไทยเข้าสู่มาตรฐานระดับอุดมศึกษา
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนกกลับกรุงเทพฯ เนื่องจากขณะนั้นสมเด็จพระราชปิตุจฉาฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระเชษฐภคินีของสมเด็จพระบรมราชชนกประชวรพระวักกะ (ไต) และเสด็จออกไปรักษาพระองค์ยังประเทศอังกฤษ และทรงพักฟื้นที่ประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีได้ตามเสด็จ ฯ ด้วย
ขณะประทับอยู่ที่กรุงปารีส สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงทรงเฝ้าดูแลพระอาการ เมื่อหายจากพระอาการประชวรแล้ว ก็ได้ตามเสด็จไปยังสก็อตแลนด์ เพื่อสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองเอดินเบอระ แต่เนื่องจากอากาศหนาวจัด ทำให้ทรงพระประชวรจึงต้องทรงเลิกเรียน ระหว่างนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์แรก คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระราชธิดาได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา มหิดล”
ต่อมาทั้งสามพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ โดยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงรับราชการในกระทรวงธรรมการ ตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย พระองค์ตรากตรำทรงงานหนักเกินพระกำลังทำให้ทรงมีพระพลานามัยทรุดโทรม แพทย์ถวายความเห็นให้เสด็จไปรักษาพระองค์ในต่างประเทศ จึงได้เสด็จไปทวีปยุโรปอีกครั้งหนึ่ง ในการเสด็จยุโรปครั้งนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระราชธิดาได้ตามเสด็จไปประทับที่เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมัน ที่ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนีได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์แรกเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระนามว่า “หม่อมเจ้าอานันนทมหิดล”
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดาได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก ไปสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงศึกษาวิชาการแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และที่ประเทศสหรัฐอเมริกานี้ พระโอรสพระองค์ที่สอง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช”
ขณะที่ทรงศึกษาวิชาแพทย์ในปีสุดท้ายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนกทรงประชวรโรคพระวักกะกำเริบและพระโรคหวัด แต่ก็ทรงสามารถสอบไล่ได้ปริญญาแพทยศาสตร์ (Doctor of Medicine) ขั้นเกียรตินิยม ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ หลังจากทรงสอบเสร็จ ทรงพระประชวรพระโรคไส้ติ่งอักเสบ ทรงต้องรับการผ่าตัด สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เฝ้าดูแลพระอาการอย่างใกล้ชิด เมื่อหายจากพระอาการประชวร ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยประทับที่พระตำหนักใหม่ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนก โปรดฯ ให้สร้างขึ้นในวังสระปทุมด้านถนนพญาไท
ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงรับเชิญจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ที่จังหวัดเชียงใหม่ เสด็จไปทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ เพื่อร่วมงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชแล้ว ได้ทรงมีพระอาการประชวรและต้องประทับรักษาพระองค์ที่กรุงเทพ ฯ
สมเด็จพระบรมราชชนกประชวรอยู่เป็นเวลา ๔ เดือน ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม
เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา ต้องทรงรับพระราชภาระอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสธิดาทั้งสามพระองค์ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชธิดาองค์โตทรงมีพระชนมายุ ๖ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชโอรสองค์ที่สองทรงมีพระชนมายุ ครบ ๔ พรรษา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมายุเพียง ๑ พรรษา ๙ เดือน
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสธิดาอย่างใกล้ชิดด้วยความเอาพระทัยใส่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเสวย บรรทม การศึกษาเล่าเรียน หรือเล่น โดยทรงเน้นเรื่องการอนามัย และการมีระเบียบวินัย เมื่อพระราชธิดาและพระราชโอรสทั้งสองพระองค์เจริญพระชนมายุขึ้น ก็โปรดให้ทรงเข้าศึกษาตามลำดับ
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงประทับอยู่ในประเทศไทยจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่ออนาคตทางการศึกษาของพระราชโอรสธิดาทั้งสามพระองค์
หนึ่งปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ โดยทรงสละพระราชสิทธิในการแต่งตั้งผู้สืบราชสมบัติ และทรงเห็นควรว่าต้องให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล ให้ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล” พระโอรสองค์โตของสมเด็จพระบรมราชชนนี เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระองค์ที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา และยังคงประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อไป เพื่อทรงศึกษาต่อ
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ และสมเด็จพระอนุชาธิราช (คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) และเมื่อเสด็จฯ ถึงประเทศไทยได้หนึ่งวัน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศสถาปนาพระอิสริยยศ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ขึ้นเป็น“สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑
ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ในประเทศไทยในระยะเวลาอันสั้น ก็ต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลนิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สองพร้อมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา การเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีต้องทรงประสบกับความโทมนัสอย่างใหญ่หลวงในพระชนม์ชีพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ กราบบังคมทูลเชิญ “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช” พระราชโอรสพระองค์ที่สอง ขึ้นครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ด้วยพระชนมายุเพียง ๑๘ พรรษา โดยมีสมเด็จพระบรมราชชนนีรับพระราชภาระถวายอภิบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๐ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเรียนรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีก็ได้ทรงลงทะเบียนเรียนแบบ audit ที่มหาวิทยาลัยนี้ด้วย ทรงศึกษาวิชาปรัชญาวรรณคดีฝรั่งเศส ภาษาบาลี และสันสกฤต หลังจากที่พระโอรสทรงอภิเษกสมรสใน พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงย้ายจากพระตำหนักวิลล่าวัฒนาที่ประทับของพระองค์และพระโอรสที่เมืองพุยยี่มา ประทับ ณ แฟลตเลขที่ ๑๙ ถนนอาวองโปสต์ ในเมืองโลซานน์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จกลับประเทศไทยในปลาย พ.ศ. ๒๔๙๔ สมเด็จพระบรมราชชนนียังคงประทับที่โลซานน์จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ ช่วงนี้ได้เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งคราว ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้เสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทยพร้อมกับเริ่มเสด็จประพาสหัวเมืองและเสด็จพระราชดำเนินออกเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ได้ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อประชาชนยากจนด้อยโอกาส นับจาก พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา
สมเด็จพระบรมราชชนนีได้ทรงงานในชนบทมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ และเสด็จสวรรคตในวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในด้านพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยวัตรสมเด็จพระบรมราชชนนีโปรดการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย โปรดการทรงงานด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์เสมอ ทรงใช้จ่ายประหยัดเพื่อนำพระราชทรัพย์ไปใช้ในกิจการกุศล โปรดการเดินป่า ปีนเขา ทอดพระเนตรดอกไม้และทิวทัศน์ธรรมชาติ ทรงเป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนตรง ทรงเน้นการพึ่งตนเองและการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทรงยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ทรงใฝ่รู้ศึกษาวิชาการต่างๆ มาตลอดพระชนม์ชีพ ทรงเลื่อมใสศรัทธาและศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงฝึกสมาธิและทรงดำเนินพระชนม์ชีพอยู่ในธรรมะ ไม่ทรงยึดถือในลาภ ยศ สรรเสริญ เคยมีรับสั่งว่า “คนเราไม่ควรลืมตัว ไม่อวดดี ไม่ถือว่าตนเก่ง”
สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระประชวรโรคพระหทัย และเสด็จเข้ารักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อ วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ เสด็จสวรรคต เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๒๗ วัน